Whyworldhot.com Header Image

The World Wants A Real Deal

พฤษภาคม 18th, 2010

นำมาจาก บล็อกของพี่ก้อง ทรงกลด บางยี่ขัน นะครับ

http://www.lonelytrees.net/?p=1651

เห็นว่า โฆษณาตัวนี้น่าสนใจมากเลยนำมาฝากเพื่อนๆกันครับ

บางที ก็น่าจะถึงเวลาเเล้วนะครับ ที่เราควรจะมาทำอะไรซักอย่างเพื่อโลกของเรากัน

เจ้าของโฆษณา: Moms Against Climate Change (Environmental Defence Canada & ForestEthics)
บริษัทโฆษณา: Advertising Agency: Zig, USA

เพื่อให้การชมโฆษณาและการอ่านออกรสออกชาติอย่างเต็มที่
แนะนำว่าควรดูคลิกดูหนังโฆษณาเรื่องนี้ก่อนครับ
(พักชมโฆษณาสักครู่)

ต่อไปนี้เป็นช่วงเนื้อหานะครับ ไม่ใช่ช่วงโฆษณา
ถ้าใครพอจะตามข่าวปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่บ้าง
น่าจะพอทราบว่า ในระดับนานาชาติมีการขับเคลื่อนอย่างหนึ่งโดย
ผู้แทนจากประเทศสมาชิกของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ หรือ UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change)
ได้จัดประชุมเพื่อหาทางแก้ปัญหาโลกร้อนกันมาโดยตลอด
การประชุมนี้เรียกสั้นๆ ว่า COP (Conference Of the Parties)
ครั้งที่ดังหน่อยก็คือ COP 3 ที่โตเกียว ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ ‘พิธีสารเกียวโต’
เวลาผ่านไป 14 ปี ก็ล่วงมาถึง COP 15 ที่โคเปนเฮเกน
ซึ่งกำลังประชุมกันอยู่ ในช่วงระหว่างวันที่ 7-18 ธันวาคมนี้
จุดที่ทำให้ COP 15 เป็นที่พูดถึงค่อนข้างมากก็คือ
ครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจว่า จะทำอย่างไรต่อไป หลังจากที่พันธกรณีแรกของพิธีสารเกียวโตจะสิ้นสุดลงในปี 2552 นี้

พิธีสารเกียวโตนั้นร่างขึ้นมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ในวันที่ผลกระทบของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังไม่รุนแรงขนาดนี้
และผู้คนยังไม่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหามากมายทั่วโลกอย่างนี้
ข้อกำหนดต่างๆ เลยร่างขึ้นมาอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
ถึงวันนี้ มาตรฐานในการลดการปล่อย รวมถึงความเคร่งครัดของพิธีสารเกียวโต ถูกวิจารณ์กันมากว่า
ไม่น่าจะช่วยกอบกู้โลกได้ทันท่วงที
การประชุมครั้งนี้เลยพยายามหาข้อสรุปว่า การแก้ปัญหาในระดับโลกจะเคลื่อนยังไงต่อไป

ในห้องประชุมก็ประชุมกันไป
นอกห้องประชุม ก็มีประชาชน และองค์กรต่างๆ ออกมารวมตัวกันอย่างสันติ
เพื่อเรียกร้องให้ผู้นำของแต่ละประเทศที่กำลังนั่งอยู่ในห้องประชุม ช่วยหาทางแก้ปัญหาที่จริงจังหน่อย
ไม่ใช่มานั่งพูดประโยคสวยๆ ใส่กัน แล้วก็จากกันไปแบบไร้ทางออกที่นำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหมือนอย่างครั้งที่ผ่านๆ มา
นั่นเลยนำมาซึ่งแคมเปญนี้มีชื่อว่า The World Wants a Real Deal
จัดกันทั่วโลกโดยองค์กรสิ่งแวดล้อมทั้งใหญ่ทั้งเลข ตัวเลขล่าสุด มีการจัดกิจกรรมชวนคนที่คิดเห็นตรงกันมารวมตัวกัน
2,723 แห่ง ใน 136 ประเทศ
ประเทศไทยของเราก็มีครับ
จัดโดย มูลนิธิโลกสีเขียว, มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม
และเครือข่ายชาวกรุงเทพฯ ผู้ห่วงใยภาวะโลกร้อน
งานมีวันที่ 12 ธันวาคม 2552 เวลา 16.00-17.00 น. ที่ลานคนเมือง หน้าเสาชิงช้า
ทีมงานแจ้งว่า ถ้าเดินทาง และร่วมงานอย่างประหยัดพลังงานได้ทุกคน จะดีมากๆ

ผมเชื่อว่า หลายคนคงมีคำถามกับกิจกรรมแนวนี้ว่า ทำเพื่ออะไร
การนัดมารวมตัวกันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ผมก็ไม่ทราบครับว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่อย่างน้อยที่สุด ก็แสดงให้เห็นว่า คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าปัญหานี้เป็นเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนในเชิงนโยบาย
แค่มารวมตัวกันเพื่อบอกสิ่งที่อยากบอก กับผู้ที่ควรได้รับทราบ
ปัญหานี้มีตัวตน
และผู้ที่อยากให้แก้ปัญหาก็มีตัวตน

กลับมาที่งานโฆษณาของ Moms Against Climate Change
ผมชอบประโยคสุดท้าย ซึ่งเล่าถึงที่มาว่าทำไมเด็กเหล่านี้ถึงมารวมตัวกันประท้วง
If our children knew ‘the fact’ we do, they’d take action.
Shouldn’t you?

รีบแก้ในสิ่งที่เราทำ
หรือจะรอให้คนที่ไม่ได้ทำลุกขึ้นมาแก้?


ใช้สมองมองโลก

พฤษภาคม 18th, 2010

ไปเจอโปสเตอร์โฆษณาตัวหนึงมา

ถ้าดูๆไปเเล้ว โปสเตอร์ ก็เป็น โปสเตอร์ รณรงส์ภาวะโลกร้อนธรรมดา

ไม่ได้มีอะไรสะดุดตา

เเต่ผมกลับไปสะดุด กลับคำเเปลที่ พี่ก้อง ทรงกลด เขียน

ก็เลยอยากนำมาให้เพื่อนๆอ่านกันครับ

http://www.lonelytrees.net/?p=429

พออ่านจบเเล้ว ผมก็ได้ข้อคิดมาว่า

บางทีปัญหา เราก็มักจะเเก้โดยใช้ วิธีวัวหายล้อมคอก

โดยไม่ได้หาต้นเหตุของปัญหา

ข้อความ: “Climate change starts here.”
บริษัทโฆษณา:  imagine’ Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์

โฆษณาชิ้นนี้พูดในสิ่งที่ผมคิดและเชื่อมาทั้งชีวิต
นั่นก็คือเรื่อง ทัศนคติ ของคน
เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมถูกถามถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด
หรือถามถึงทางแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ผมอยากแก้เป็นอันดับแรก
ผมไม่ลังเลที่จะตอบว่า ผมสนใจเรื่องทัศนคติของคนมากกว่าเรื่องอื่น
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือปัญหาโลกร้อนนั้นสลับซับซ้อน
ต่อให้เราปรับเปลี่ยนนโยบาย ปรับปรุงกฎหมาย
แต่เรายังไม่เห็นความสำคัญในการแก้ปัญหา
ยังไม่มองมันเป็นปัญหาที่เกิดจากมือเรา และเราต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ยังไงปัญหานี้ก็ไม่มีทางแก้ได้

แต่กลับกัน ถ้าทุกคนตระหนักรู้ว่า มันคือปัญหาสำคัญที่เราทุกคนสมควรร่วมกันแก้
แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายสักฉบับออกมาบังคับใช้
ผมก็เชื่อว่าปัญหานี้น่าจะแก้ไขได้

ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม เรามักจะพูดถึงประโยคหนึ่งกันอยู่บ่อยๆ
นั่นก็คือ
It’s not in my backyard.
มันไม่ได้อยู่ในสนามหลังบ้านฉัน
โลกนอกรั้วบ้านไม่ใช่โลกของเรา เราไม่มีส่วนรับผิดชอบกับมัน
โดยที่เราลืมไปเสียสนิทว่า โลกใบนี้มีใบเดียว
ท่อน้ำทิ้งที่ต่อให้เลยเขตรั้วบ้านออกไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องรับผิดชอบ
เราเปิดแอร์เย็นฉ่ำอยู่ในบ้าน ในขณะที่คอมเพรสเซอร์แอร์เป่าลมร้อนผ่าวใส่คนเดินถนน หรือคนข้างบ้าน
เราสุขสบายกับความเย็น และไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบกับความร้อนที่เราก่อ
ทัศนคติแบบนี้แหละครับที่ทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาลง

ปัญหาโลกร้อนเกิดขึ้นจากทัศนคติของคนที่เห็นแก่ความสบายของตัวเองเป็นหลัก
ไล่มาตั้งแต่โรงงานอุตสาหกรรมยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศพัฒนาแล้ว
มาถึงโรงงานยุคปัจจุบันในประเทศโลกที่สาม
และไลฟ์สไตล์ละลายทรัพยากรและพลังงานของคนทั่วโลก
ถ้าปัญหามันเริ่มต้นจากทัศนคติ
เราก็ควรจะแก้กันที่ตรงนั้น

ถุงผ้าไม่ใช่ทางแก้ปัญหาโลกร้อน
การปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการใช้ทรัพยาการของคนต่างหาก
ผมคิดว่าอย่างนั้นนะครับ

เครดิต-คุณ ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการ aday

Whyworldhot.com : เปลี่ยนหน้าตาใหม่

กุมภาพันธ์ 22nd, 2009

ขณะนี้ทางเว็บไซต์ Why world hot : หยุด! ภาวะโลกร้อนก็ได้ทำการเปลี่ยนหน้าตา(Theme) เว็บไซต์ใหม่ไปบ้างแล้วนะครับ สำหรับต่อจากนี้ไปก็จะทำการเปิดให้ใครก็ตามสามารถส่งบทความเข้ามาได้นะครับ

หากมีความเห็นเกี่ยวกับหน้าตาใหม่นี้สามารถส่งความเห็นมาได้เลยนะครับ

เสนอติดฉลากสินค้า “คาร์บอนต่ำ” คู่ฉลากเขียว ให้คนซื้อตัดสินใจ

มิถุนายน 8th, 2008

ประธานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยเสนอโรงเรียน-มหาวิทยาลัย ทำหลักสูตรโลกร้อน ป้องกันผลกระทบโดยด่วน ทั้งยังเสนอรัฐทำฉลากสินค้าคาร์บอนต่ำ คู่สินค้าฉลากเขียวให้ผู้บริโภคตัดสินใจ พร้อมวิงวอนทบทวนนโยบายโค่นยาง ปลูกปาล์ม หลังพบรากยางช่วยหน้าดินไม่ทลาย ด้านปลัด ก.ทรัพย์ขอความร่วมมือคนไทย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรักษาโลก เป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง

ในวันสิ่งแวดล้อมโลก เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.51 ที่ผ่านมานั้น ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ได้ร่วมฟังวงเสวนา “ถึงเวลาที่เมืองไทยจะต้องก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” โดย ศ.ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเวทีเป็นคนแรกและกล่าวว่า หากวันนี้สังคมไทยยังไม่ทำอะไรกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่อไปเราจะอยู่กันอย่างลำบากมาก โดยเฉพาะการเกษตรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด รวมถึงทรัพยากรชายฝั่งที่ถูกทำลาย และการเกิดโรคใหม่ๆ ที่ร้ายแรง

ทั้งนี้ เพื่อการรับมือกับปัญหาอย่างยั่งยืน ควรมีการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน ในสถาบันการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาตั้งแต่วันนี้ เพราะหาไม่แล้ว 4 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะกลับมาล้าหลังอีกครั้ง ซ้ำรอยที่ 6 ปีที่แล้วที่ไม่มีการเตรียมพร้อมเลย ทำให้วันนี้ไทยต้องเจอกับปัญหา

ขณะเดียวกัน ประธานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เสนอว่า นอกเหนือจากปัจจุบันที่มีการจัดทำสินค้าฉลากเขียวแล้ว ต่อไปประเทศไทยควรกำหนดให้สินค้าต้องติดฉลากคาร์บอนด้วย โดยตัวฉลากจะบอกผู้บริโภคถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการผลิต เพื่อให้เกิดการเลือกใช้ ทำให้สินค้าที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมล้มตายไปเอง

เขาเผยอีกว่า อยากให้ภาครัฐมีการทบทวนนโยบายการปลูกพืชพลังงานด้วย เพราะทราบมาว่ามีนโยบายโค่นป่ายางในภาคใต้เพื่อหลีกทางให้การปลูกปาล์มน้ำมัน แล้วส่งเสริมการปลูกยางพาราในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือแทน ขณะที่ผลการศึกษาจากองค์การสวนยางพบว่า รากของยางป่ายึดหน้าดินไว้ไม่ให้พังทลาย เหมือนพื้นที่ที่แปรรูปเป็นนากุ้ง

Read the rest of this entry »

Google เปลี่ยนหน้า Homepage เป็นสีดำรณรงค์ลดโลกร้อน

มีนาคม 29th, 2008


Google เปลี่ยนหน้า Homepage เป็นสีดำรณรงค์ลดโลกร้อนตามโครงการที่มีชื่อว่า Earth Hour ในวันที่ 29 มีนาคมนี้ แต่จากหลักฐานที่มีอยู่ปัจจุบันพบว่าการเปลี่ยนหน้า Homepage เป็นสีดำจะลดการใช้พลังงานลงน้อยมาก โครงการนี้จึงทำเพียง 1 วันเพื่อการรณงรค์เท่านั้นเพราะไม่ได้เป็นการช่วยประหยัดพลังงานตามที่หลายคนคาดไว้แต่อย่างใด

ในเว็บไซต์ของ Google ประเทศไทยกล่าวว่า
“ในวันนี้ผู้ใช้ Google ในประเทศไทยจะเห็นว่าเรา “ปิดไฟ” ที่หน้าโฮมเพจ Google.co.th เพื่อสร้างการรับรู้ถึงโครงการร่วมประหยัดพลังงานทั่วโลกซึ่งมีชื่อว่า Earth Hour

วัน เสาร์ที่ 29 มีนาคม 2008 นี้ Earth Hour ขอเชิญชวนทุกคนในโลกนี้ปิดไฟเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ตั้งแต่ 20.00? 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศของตน ในวันนี้ เมืองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น โคเปนเฮเกน ชิคาโก้ เมลเบิร์น ดูไบ และ เทลอาวิฟ จะจัดงานเพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการประหยัดพลังงานของตน
Read the rest of this entry »

กทม. รณรงค์ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดภาวะโลกร้อน

มีนาคม 10th, 2008

23301_002.jpg
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร(กทม.) แถลงข่าวเรื่องการจัดกิจกรรมรณรงค์ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน- 60 Earth Hour ร่วมกับนายวิลเลี่ยม เช็ดล่า(William Schaedla) ผู้อำนวยการ WWF ประเทศไทย และ นายบีม กวี ตันจรารักษ์ ในฐานะทูต WWF ประเทศไทย

โดยนายอภิรักษ์ กล่าวว่า กทม.ในฐานะเมืองหลวงของประเทศไทย มีประชากรอยู่ 10 กว่า ล้านคน ซึ่งมีการใช้พลังงานค่อนข้างมาก ไม่น้อยไปกว่าเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก ดังนั้น กทม.จึงได้ร่วมกับ WWF และเครือข่ายพันธมิตรร่วมกันรณรงค์ลดปัญหาภาวะโลกร้อน โดยในปีนี้ กทม. และเมืองใหญ่ อีก 23 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ซิดนีย์ เพิทธ์ เมลเบินน์ แคนเบอร่า บริสเบน อดาเลด โคเปนเฮเก้น อาฮุส อาเบิก โอเดนส์ มะนิลา ซูวา ชิคาโก เทลอาวีฟ โตรอนโต ไครส์เซิซ แอลแลนต้า ซานฟรานซิสโก ฟีนิกซ์ ออตตาวา แวนคูเวอร์ มอนทรีออล และดับบลิน จะร่วมกันปิดไฟ ในวันเสาร์ที 29 มี.ค.นี้ เวลา 20.00-21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละเมือง ทั้งนี้ กทม.กำหนดจัดกิจกรรมที่บริเวณลานเอนกประสงค์ห้าง Central World ถ.ราชประสงค์
Read the rest of this entry »

เปิดแผนที่ “มหาสมุทรโลก” ถูกมนุษย์ทำลายแล้ว 96% เว้นแต่ขั้วโลก

กุมภาพันธ์ 28th, 2008

ผลกระทบต่อมหาสมุทร
บีบีซีนิวส์/เอเยนซี – พื้นที่แผ่นโลก เหลือ “มหาสมุทร” เพียงแค่ 4 % เท่านั้นที่ยังไม่ถูกมนุษย์ย่ำยี่ ซึ่งพื้นที่บริสุทธิ์ที่เหลือเป็นพื้นที่น้ำแข็งใกล้ขั้วโลกที่กำลังเผชิญการละลาย ขณะที่กว่า 40% ได้รับผลเลวร้ายแล้วจากน้ำมือมนุษย์ ระบุเป็น “เสียงปลุก” ให้ผู้กำหนดนโยบายเริ่มปฏิบัติการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล

ดร.เบนจามิน ฮัลเพิร์น (Dr Benjamin Halpern) จากศูนย์วิเคราะห์และสังเคราะห์นิเวศวิทยาแห่งสหรัฐฯ ในซานตา บาร์บารา (National Center for Ecological Analysis and Synthesis in Santa Barbara) ซึ่งเป็นหัวหน้าในการทำแผนที่โลกแสดงผลกระทบต่อมหาสมุทรอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์นี้กล่าวว่า มนุษย์ได้สร้างผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อมหาสมุทรและระบบนิเวศที่อยู่ภายใต้ทะเล

ภาพแผนที่โลกนี้แสดงให้เห็นว่า 41% ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ 17 รายงานซึ่งสัดส่วนที่มากกว่าที่เคยคิดกัน และเพียง 4% ที่ยังไม่ได้รับความเสียหาย โดยแผนที่ซึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์จากสหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และแคนาดานี้เป็นครั้งแรกที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลของมนุษย์ในด้านต่างๆ ที่กระทบต่อมหาสมุทร และยังได้ตรวจสอบตัวบ่งชี้คุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่รวมถึงแนวปะการัง แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ดงสาหร่ายและคุณภาพน้ำ
Read the rest of this entry »

ต้นไม้เมา หนึ่งในผลกระทบของภาวะโลกร้อน

ธันวาคม 28th, 2007

ต้นไม้เมา ได้ชื่อนี้จากการที่ต้นไม้เอียงอย่างไม่มีทิศทางแน่นอน สภาพนี้เป็นผลกระทบหนึ่งของภาวะโลกร้อน และไม่ได้เกิดจากลมพายุแต่อย่างใด
แต่เกิดจากน้ำแข็งชั้น Permafrost ที่รากต้นไม้หยั่งลงไปเริ่มละลาย ทำให้ไม่สามารถเกาะได้อย่างมั่นคง และเอียงอย่างไร้ทิศทาง

ชั้น Permafrost คือส่วนของดินที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งนานกว่า 2 ปีต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นตัวกันไม่ให้ต้นไม้หยั่งรากลึกลงไปกว่านี้ เมื่อชั้นนี้ละลาย
ต้นไม้จึงไม่มีที่ยึดเกาะ ต้นไม้อาจตายจากสภาพนี้ แต่บางส่วนอาจกลับไปตั้งตรงได้ใหม่ และเจริญเติบโตต่อได้

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ทีเดียว เพราะเคยเกิดขึ้นระหว่างช่วงหลัง Little Ice Age นั่นคือราวศตวรรษที่ 16-17

อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนว่า การเกิดต้นไม้เมา มีความเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน แต่ปัจจุบันได้พบต้นไม้เมามากขึ้นเรื่อยๆ

ต้นไม้เมาในแถบไซบีเรีย
ต้นไม้เมาในแถบไซบีเรีย ภาพโดย NASA

ออสเตรเลียลงนามในพิธีสารเกียวโตแล้ว

ธันวาคม 28th, 2007

จากการประชุม IPCC ครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลีย ได้ลงนามในพิธีสารเกียวโตเรียบร้อยแล้ว

พิธีสารเกียวโต คือข้อตกลงระหว่างประเทศที่จะให้ความร่วมมือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นสาเหตหลักของภาวะโลกร้อน

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศอุตสาหกรรมเพียงประเทศเดียว ที่ไม่ลงนามในพิธีสารนี้

Kevin Rudd
ภาพ Greg Wood/AFP

http://news.nationalgeographic.com/news/2007/12/071203-AP-aus-kyoto.html

คนนับหมื่นจากทั่วโลกร่วมกำหนดทางสู้โลกร้อนบนเกาะบาหลี

ธันวาคม 17th, 2007

การประชุม IPCC

เอเอฟพี / เอพี ? เหล่าผู้แทนและนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกร่วมการประชุมโลกร้อนครั้งใหญ่ที่สุด โดยยูเอ็นโต้โผใหญ่หวังเกิดกระบวนการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว และสร้างสนธิสัญญาสากลใหม่เพื่อต่อสู้กับภัยสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ อันเป็นผลจากภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศให้ได้ภายในปี 2552

ผู้ร่วมประชุมจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก บวกกับนักรณรงค์และผู้สื่อข่าว รวมแล้วกว่า 10,000 คนตอนนี้ กำลังรวมตัวอยู่บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และพวกเขาจะตั้งหลักอยู่นั่นถึง 11 วัน เพื่อร่วมการประชุมสหประชาชาติภายใต้กรอบอนุสัญญาแม่บทว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) ระหว่างวันที่ 3-14 ธ.ค.50

การประชุมที่บาหลีในครั้งนี้ นับเป็นสุดยอดแห่งความร่วมมือในการแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่กำลังเข้าขั้นวิกฤติ โดยรายงานฉบับสุดท้ายอันเป็นสรุปสุดยอดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ก็จะมีการเปิดเผยกันในที่ประชุมแห่งนี้ พร้อมกับผลสรุปที่ว่าโลกเรามีเทคโนโลยีดีพอที่จะชะลอสภาวะโลกร้อน (global warming) แต่ต้องเดินหน้าอย่างเร่งด่วน
Read the rest of this entry »